MAIN POINT
- วิธีสร้าง Work-Life Balance เริ่มต้นได้ง่าย ๆ ด้วยการจัดระเบียบชีวิตตัวเอง เช่น ตั้งเป้าหมายให้ชัดเจน จดบันทึกเรื่องราวแต่ละวัน รู้จักวิธีจัดการอารมณ์ ดูแลสุขภาพกายใจ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ รวมถึงการจัดพื้นที่ทำงานให้เป็นระเบียบ และไม่ทำงานแบบผัดวันประกันพรุ่ง
- การมี Work-Life Balance จะช่วยเติมเต็มคุณภาพชีวิตที่ดีได้มากขึ้น ทั้งเรื่องสุขภาพกายและใจ ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับคนรอบตัว มีเวลาพัฒนาตัวเองและได้ใช้ชีวิตในแบบที่ต้องการ
วิธีสร้าง Work-Life Balance คุณภาพชีวิตดี ๆ ที่เลือกเองได้
ในยุคที่ทุกคนต้องใช้ชีวิตเร่งรีบ แข่งขันกับเวลา และทำงานอย่างเหน็ดเหนื่อย จนสะสมความเครียดและเกิดอาการภาวะ Burn Out การสร้างสมดุลระหว่างการทำงานกับชีวิตส่วนตัวจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่จะช่วยให้เราใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขมากยิ่งขึ้น AP Thai มัดรวมเคล็ดลับการจัดระเบียบชีวิตและแบ่งเวลาอย่างเหมาะสม เพื่อสร้าง Work-Life Balance ที่ดีได้ในแบบฉบับของตัวเอง
Work-Life Balance คืออะไร
Work-Life Balance คือ ความสมดุลระหว่างการทำงานกับชีวิตส่วนตัว จัดสรรเวลาได้อย่างเหมาะสม ทั้งความรับผิดชอบในการทำงานและกิจกรรมต่าง ๆ ในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการพักผ่อนที่เพียงพอ การดูแลสุขภาพ การมีความสัมพันธ์ที่ดีกับคนสำคัญ
ซึ่ง Work-Life Balance ที่ดีอาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับไลฟ์สไตล์ ช่วงวัย เป้าหมายชีวิต หรือสถานการณ์ส่วนตัว สิ่งสำคัญคือการรู้จักตัวเองและสามารถปรับสมดุลให้เข้ากับสถานการณ์ได้อย่างเหมาะสม เพื่อให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในขณะเดียวกันก็มีความสุขกับการได้ใช้ชีวิต
7 วิธีสร้าง Work-Life Balance เริ่มจัดระเบียบชีวิตที่ตัวเรา
1. ตั้งเป้าหมายของตัวเอง
การสร้าง Work-Life Balance ที่ดี ควรเริ่มต้นจากการรู้จักตัวเองและเข้าใจถึงสิ่งที่เราต้องการจริง ๆ การตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนและสามารถลงมือปฏิบัติได้จริง จะช่วยให้เราจัดลำดับความสำคัญของเรื่องต่าง ๆ ในชีวิตได้ดีขึ้น ทั้งเป้าหมายด้านอาชีพการงาน ครอบครัว สุขภาพ ความสัมพันธ์ รวมถึงการพัฒนาตนเอง
2. จดบันทึกในแต่ละวัน
การจดบันทึกประจำวัน หรือการเขียนไดอารี่ เพื่อบันทึกว่าวันนี้ทำอะไร รู้สึกอย่างไร มีสิ่งไหนที่ทำให้มีความสุขหรือเครียดบ้าง เป็นอีกหนึ่งตัวช่วยที่ทำให้รู้ว่าในแต่ละวัน เราใช้เวลาและพลังงานของตัวเองไปกับเรื่องอะไรบ้าง ทำให้เราคิดอย่างเป็นระบบและมีสมาธิจดจ่อกับสถานการณ์ปัจจุบัน
ทั้งนี้เมื่อกลับมาย้อนอ่านไดอารี่อย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้เราเห็นรูปแบบพฤติกรรมของตัวเอง และรู้ว่าอะไรคือสิ่งที่อาจทำให้เราเครียดจากการใช้ชีวิต ซึ่งจะนำไปสู่การปรับปรุง พัฒนา และวางแผนชีวิตให้ดีมากยิ่งขึ้น
3. จัดการกับอารมณ์
แน่นอนว่าเมื่อเราจัดการอารมณ์ได้ไม่ดี ความเครียดจากงานก็จะส่งผลกระทบไปยังชีวิตส่วนตัว หรือนำปัญหาส่วนตัวมากระทบต่อประสิทธิภาพในการทำงาน ดังนั้นเราจึงควรเรียนรู้วิธีจัดการอารมณ์อย่างเหมาะสม ทั้งอารมณ์โกรธ หงุดหงิด เครียด หรือวิตกกังวล
การหาวิธีผ่อนคลาย เช่น ฝึกสมาธิ ควบคุมลมหายใจ ออกกำลังกาย ดูหนัง ฟังเพลง เดินเล่น ไปท่องเที่ยว หรือทำกิจกรรมที่ชอบ รวมไปถึงการพูดคุยกับคนที่ไว้ใจ หรือปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ เพื่อไม่ให้อารมณ์ครอบงำตัวเรา จะช่วยรักษาสมดุลของร่างกายและจิตใจเอาไว้ได้
4. นอนหลับพักผ่อนให้เต็มที่
การนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ จะช่วยลดความเครียด ควบคุมอารมณ์ได้ดี พร้อมเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ มีสมาธิจัดการกับงานและชีวิตประจำวันได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยปกติแล้วชั่วโมงการนอนที่เหมาะสมสำหรับแต่ละช่วงวัย มีดังนี้
- อายุ 14-17 ปี ควรนอนวันละ 8-10 ชั่วโมง เพื่อให้เกิดการหลั่ง Growth Hormone เพื่อช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโต
- อายุ 18-64 ปี ควรนอนวันละ 7-9 ชั่วโมง เพื่อให้สมองได้พักผ่อนจากความเหนื่อยล้า ทั้งจากการเรียนหนังสือและการทำงาน เพื่อให้ร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
5. จัดโต๊ะทำงานให้มีระเบียบมากขึ้น
การจัดโต๊ะทำงานให้เป็นระเบียบ จะช่วยประหยัดเวลาในการหาของ ลดความวุ่นวายและความเครียด มีสมาธิจดจ่อกับการทำงานได้ดี ทำงานเสร็จได้ไวขึ้น ทำให้เรามีเวลาว่างเพียงพอสำหรับการพักผ่อน ท่องเที่ยว ทำกิจกรรมอดิเรก หรือใช้เวลากับคนในครอบครัวได้มากยิ่งขึ้น
6. ใส่ใจกับสุขภาพกายและใจ
หมั่นดูแลสุขภาพร่างกายด้วยการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อยวันละ 30 นาที เพื่อให้ร่างกายสดชื่น มีชีวิตชีวา สมองปลอดโปร่ง รวมถึงรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ พักผ่อนนอนหลับให้เพียงพอ
ในด้านของการดูแลสุขภาพจิตใจก็สำคัญเช่นกัน การรู้จักจัดการความเครียด หาเวลาผ่อนคลายให้ตัวเอง อย่างการทำกิจกรรมอดิเรก ใช้เวลากับคนที่เรารัก เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ เพราะเมื่อเรามีสุขภาพกายและใจที่ดี จะช่วยเติมพลังงานในการจัดการกับงานและชีวิตประจำวันได้ดีมากขึ้น
7. อย่าผัดวันประกันพรุ่ง
วางแผนการทำงานอย่างเป็นระบบและสามารถทำได้จริง เป็นสิ่งสำคัญในการสร้าง Work-Life Balance ที่มีประสิทธิภาพ เช่น กำหนดวัน-เวลาทำงานให้ชัดเจน เพื่อรับผิดชอบงานให้เสร็จทันกำหนด หรือหาแรงจูงใจให้ตัวเองเพิ่มเติม เมื่อเราทำงานได้ตรงตามเวลา ก็จะเกิดความสบายใจและมีเวลาเพียงพอสำหรับการทำกิจกรรมอื่น ๆ ในชีวิตได้
5 เคล็ดลับสร้าง Work-Life Balance ด้วยการแบ่งเวลา
1. กำหนดขอบเขตระหว่างเวลาทำงานและเวลาส่วนตัว
จัดสรรเวลา 1 วัน โดยกำหนดขอบเขตระหว่างเวลาทำงานและเวลาส่วนตัวอย่างชัดเจน เมื่ออยู่ในช่วงเวลาทำงานก็ให้มีสมาธิจดจ่อกับการทำงานอย่างเต็มที่ เพื่อจบงานภายในเวลาที่กำหนด และเมื่อหมดช่วงเวลาทำงานแล้ว ก็ควรหันมาให้ความสนใจกับชีวิตส่วนตัว โดยไม่มีงานเข้ามาเกี่ยวข้อง จะช่วยให้เราไม่นำความเครียดจากงานมาปะปนกับชีวิตส่วนตัว
2. ลองตื่นเช้าเพื่อมีเวลาที่มากขึ้น
การตื่นเช้าเป็นวิธีง่าย ๆ ในการเพิ่มเวลาชีวิตให้กับตัวเอง เป็นช่วงที่เราสามารถทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้อย่างเต็มที่ ทั้งการออกกำลังกาย การทำสมาธิ การอ่านหนังสือ การรับประทานอาหารเช้า หรือการวางแผนสิ่งที่ต้องทำในวันนั้น ให้เป็นการเริ่มต้นวันใหม่ด้วยความรู้สึกที่ดี จิตใจแจ่มใส มีชีวิตชีวา
3. ใส่ใจกับเรื่องที่สำคัญก่อนเสมอ
ในแต่ละวันคนเรามีเวลาจำกัดแต่กลับต้องเผชิญกับเรื่องราวมากมาย เราจึงควรรู้จักแยกแยะและจดจ่อกับสิ่งที่สำคัญหรือสิ่งที่เร่งด่วนก่อนเสมอเพื่อสร้าง Work-Life Balance ที่ดี เช่น งานที่ต้องส่งในกำหนดเวลา งานที่ต้องใช้สมาธิสูง หรือกิจกรรมส่วนตัวสำคัญที่สอดคล้องกับเป้าหมายชีวิต แล้วค่อยจัดการกับสิ่งอื่น ๆ ต่อไปตามลำดับ
4. หาเวลาพักให้ตัวเองบ้าง
นอกจากจะเต็มที่กับการทำงานอย่างเหน็ดเหนื่อยแล้ว อย่าลืมจัดสรรเวลาสำหรับการพักผ่อนและกิจกรรมส่วนตัวด้วย เพราะการพักผ่อนก็เป็นสิ่งจำเป็นที่จะช่วยให้สุขภาพร่างกายและจิตใจแข็งแรงมากขึ้น อย่างการเดินเล่น การฟังเพลง การนั่งสมาธิ การไปท่องเที่ยวในที่ใหม่ ๆ หรือทำอะไรที่ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย เพื่อป้องกันอาการเหนื่อยล้าสะสม เป็นการสร้าง Work-Life Balance ที่ดีกับตัวเอง เติมพลังและแรงบันดาลใจในชีวิต
5. ยอมรับได้หากไม่เป็นไปตามแผน
ความยืดหยุ่นเป็นสิ่งสำคัญในการสร้าง Work-Life Balance เพราะชีวิตมีความไม่แน่นอน บางครั้งสิ่งที่เราวางแผนไว้อาจไม่เป็นไปตามที่คาดคิด แทนที่จะวิตกกังวลเมื่อแผนเปลี่ยนแปลง ให้เรียนรู้วิธีการยอมรับ ปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ หรือมองหาทางเลือกใหม่ ๆ
ประโยชน์ของ Work-Life Balance เพื่อสุขภาพกายและใจที่ดี
1. มีสุขภาพกายและใจดีขึ้น
เมื่อเราสร้าง Work-Life Balance ให้ไม่ทำงานหนักจนเกินไป มีเวลาพักผ่อนอย่างเพียงพอ ได้ทำกิจกรรมที่ชื่นชอบ ใช้เวลากับคนที่รัก ระดับความเครียดก็จะลดน้อยลง ระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้ดีขึ้น สมองคลายความวิตกกังวล ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคต่าง ๆ และใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขกายสบายใจมากขึ้น
2. มีประสิทธิภาพในการทำงานมากขึ้น
การมี Work-Life Balance ที่ดีจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานมากขึ้น เพราะเมื่อเราได้พักผ่อนอย่างเพียงพอ ไม่เหนื่อยล้าจากการทำงานจนเกินขีดจำกัด มีเวลาสำหรับกิจกรรมอื่น ๆ ที่ช่วยให้เราได้ผ่อนคลายและเติมมุมมองใหม่ ๆ จะช่วยให้สมอง คิด วิเคราะห์ได้ดีขึ้น มีสมาธิมากขึ้น ทำงานได้สำเร็จลุล่วงตามที่ตั้งไว้
3. มีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับคนรอบตัวมากขึ้น
เมื่อเราจัดระเบียบและแบ่งเวลาชีวิตได้อย่างเหมาะสม จะช่วยให้เรามีเวลาว่างและมีพลังงานเพียงพอสำหรับการดูแลความสัมพันธ์กับคนสำคัญในชีวิตมากขึ้น ให้ความสนใจและใช้เวลาคุณภาพร่วมกันกับทั้งครอบครัว เพื่อน และคนรักได้อย่างเต็มที่
4. มีเวลาพัฒนาตัวเองและเติมเต็มชีวิตในแบบที่ต้องการ
เมื่อเรามี Work-Life Balance ที่ดี รู้จักแบ่งขอบเขตการทำงานและกิจกรรมอื่น ๆ อย่างชัดเจน จะทำให้เรามีเวลาสำหรับพัฒนาตัวเองในด้านต่าง ๆ ทั้งการเรียนรู้ทักษะใหม่ การอ่านหนังสือ การเดินทางท่องเที่ยว หรือทำกิจกรรมที่ทำให้รู้สึกมีชีวิตชีวา เปิดมุมมองที่กว้างขึ้น ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข เพราะชีวิตไม่ได้มีแค่ด้านเดียว
สร้าง Work-Life Balance ได้ไม่ยาก เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี
การสร้าง Work-Life Balance ที่ดีสำหรับแต่ละคนนั้นอาจไม่เหมือนกัน ทางที่ดีจึงควรมองหาความสมดุลที่เหมาะสมกับตัวเอง จัดลำดับความสำคัญของทุกกิจกรรม เพื่อใช้ชีวิตได้อย่างมีคุณภาพ สอดคล้องกับเป้าหมายที่วางไว้ และเติมเต็มความสุขได้ในแบบของเราเอง
เอพีไทยแลนด์ ช่วยเติมเต็มความหมายของชีวิต
เลือกเป็นเจ้าของโครงการบ้านจาก เอพีไทยแลนด์ เพื่อสร้างชีวิตดี ๆ บนพื้นที่ความสุขที่เราเลือกเอง ไม่ว่าจะเป็น โครงการบ้านเดี่ยวพื้นที่กว้างขวางเป็นส่วนตัว ทาวน์โฮมดีไซน์สวยหรือบ้านแฝดฟังก์ชันใหญ่ คอนโดมิเนียมทำเลติดรถไฟฟ้าเดินทางง่าย และโฮมออฟฟิศฟังก์ชันเจ๋งที่รองรับทุกธุรกิจ สามารถเลือกได้ตามต้องการ เพราะ “บ้าน” ไม่ใช่แค่ที่อยู่อาศัย
EMPOWER LIVING อยู่ .. เพื่อทุกความหมายของคุณ