MAIN POINT
- Exotic Pet คือ สัตว์เลี้ยงชนิดพิเศษที่มีรูปร่างหน้าตาและลักษณะนิสัยที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดยแบ่งออกเป็น 6 กลุ่มหลัก ได้แก่ สัตว์เลื้อยคลาน สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง สัตว์ปีก ปลาแปลก และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็ก
- Exotic Pet เลี้ยงง่าย มือใหม่ก็เลี้ยงได้ เพียงศึกษาลักษณะเฉพาะและวิธีดูแลเบื้องต้นของแต่ละสายพันธุ์ เช่น เม่นแคระที่ดูแลง่ายเพียงมีมุมเงียบสงบ หนูแกสบี้ที่รักการเข้าสังคมต้องเลี้ยงเป็นกลุ่ม หรือชูการ์ไกลเดอร์ ที่ขี้เล่นต้องแบ่งเวลาทำกิจกรรม แค่นี้ทุกวันก็จะเต็มไปด้วยความสุขแล้ว
Exotic Pet เพื่อนตัวเล็กที่มาพร้อมเสน่ห์เฉพาะตัว พร้อมเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวที่คอยมอบทั้งรอยยิ้มและความสุขในทุกช่วงเวลา AP Thai จะพาเหล่าทาสตัวจิ๋วไปรู้จักว่า Exotic Pet คืออะไร พร้อมแนะนำ 8 ชนิดยอดนิยมที่น่ารัก น่าเลี้ยงในบ้าน และวิธีดูแลเบื้องต้นที่มือใหม่ก็ทำตามได้
Exotic Pet คืออะไร?

Exotic Pet หรือสัตว์เลี้ยงชนิดพิเศษ คือ สัตว์เลี้ยงที่แตกต่างไปจากสัตว์เลี้ยงทั่วไปอย่างสุนัขและแมว ซึ่งมักต้องการการดูแลเป็นพิเศษ อาจเป็นสัตว์ที่มีถิ่นกำเนิดจากต่างประเทศ หรือพบได้ในประเทศไทย รวมถึงสัตว์ที่ผ่านการตัดแต่งพันธุกรรมจนมีลักษณะโดดเด่นต่างไปจากสายพันธุ์ดั้งเดิม ทั้งนี้ Exotic Pet ยังมีชื่อเรียกอื่น ๆ เช่น สัตว์เลี้ยงวิเทศ สัตว์แปลกต่างถิ่น สัตว์เอ็กโซติก หรือสัตว์หายาก
ประเภทของ Exotic Pet
Exotic Pet หรือสัตว์เลี้ยงชนิดพิเศษ ครอบคลุมไปถึงสัตว์หลากหลายชนิดจากทั่วโลก ปัจจุบันสามารถแบ่งกลุ่มได้เป็น 6 ประเภทหลัก ได้แก่
1. กลุ่มสัตว์เลื้อยคลาน (Reptilia)

สัตว์เลื้อยคลานเป็นสัตว์เลือดเย็นที่มักลอกคราบเป็นระยะ ๆ การเลี้ยงควรจัดพื้นที่ให้เหมาะสม บางชนิดต้องการแสงแดดเพื่อช่วยควบคุมอุณหภูมิร่างกาย ในกลุ่ม Exotic Pet สัตว์เลื้อยคลาน สามารถแบ่งออกได้เป็น 4 ประเภทหลัก ได้แก่
- Crocodilia: จระเข้ แอลลิเกเตอร์ และตะโขง
- Testudines: เต่า
- Squamata: กิ้งก่าและงู
- Rhynchocephalia: ทัวทารา
2. กลุ่มสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ (Amphibians)

สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ หรือสัตว์สะเทินบกสะเทินน้ำ สามารถอาศัยอยู่ได้ทั้งในน้ำและบนบก จึงควรจัดที่อยู่อาศัยให้มีทั้งน้ำและพื้นดิน แม้ไม่ต้องการการดูแลซับซ้อน แต่ควรระวังเวลาสัมผัส โดยต้องสวมถุงมือทุกครั้ง เนื่องจากผิวของพวกเขาบอบบางมาก ในกลุ่ม Exotic Pet มี 2 กลุ่มหลัก ได้แก่
- Anura: กลุ่มกบ เช่น กบลูกศรพิษ กบโกไลแอท กบแคระแอฟริกัน กบนา กบมะเขือเทศมาดากัสการ์ และกบแอฟริกันบูลฟร็อก
- Caudata: กลุ่มซาลาแมนเดอร์ ซึ่งมีรูปร่างคล้ายจิ้งจก แต่ใช้ชีวิตได้ทั้งในน้ำและบนบก
3. กลุ่มสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง (Invertebrates)

สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังที่นิยมเลี้ยงเป็น Exotic Pet ส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มแมลงหรือแมง ที่เลี้ยงง่าย ใช้พื้นที่ไม่มาก แต่ต้องระวังเรื่องพิษและป้องกันไม่ให้น้องหลุดจากกรงเพื่อความปลอดภัย เช่น หอยทาก แมงมุมทารันทูล่า และด้วง
4. กลุ่มสัตว์ปีก (Poultry)

สัตว์ปีกในฐานะ Exotic Pet ดูแลง่าย ไม่จำเป็นต้องเฝ้าตลอดเวลา แต่ควรมีกรงขนาดใหญ่ให้นกได้บินเล่น มักมีสีสันที่สวยงามและความฉลาด เช่น นกฟอพัส นกค็อกคาเทล นกแก้วมาคอว์ นกเหยี่ยว และนกยูง
5. กลุ่มสัตว์น้ำหายาก (Exotic Aquatic Pets)

สัตว์น้ำหายาก บางชนิดมีมูลค่าสูงและต้องการการดูแลอย่างพิถีพิถัน โดยเฉพาะเรื่องถังเลี้ยงที่ต้องมีระบบกรองออกซิเจน และการควบคุมคุณภาพน้ำให้อยู่ในระดับเหมาะสม เช่น ปลาปักเป้าฟาฮากา หรือปลาเทพา เพื่อให้น้องอยู่ได้อย่างแข็งแรงและมีสีสันสวยงาม
6. กลุ่มสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็ก (Small Mammals)

สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในกลุ่ม Exotic Pet มักตัวเล็ก น่ารัก ขี้เล่น และเข้ากับคนได้ดี เช่น กระต่าย เฟอเรท แฮมสเตอร์ สุนัขจิ้งจอก แพรี่ด็อก เมียร์แคต บุชเบบี้ และชูการ์ไกลเดอร์ แต่ละชนิดมีเสน่ห์เฉพาะตัว ทั้งความขี้อ้อน ความฉลาด หรือความซุกซน จึงเป็นกลุ่มที่ได้รับความนิยมสูงสำหรับเลี้ยงเป็นเพื่อนคลายเหงา
แนะนำ 8 Exotic Pet น่ารัก น่าเลี้ยงในบ้าน
| รายชื่อ Exotic Pet | ลักษณะนิสัย |
| เม่นแคระ | ขี้อาย ขดตัวกลมเมื่อกลัว เล่นด้วยเมื่อคุ้นเคย |
| หนูแกสบี้ | ขี้เหงา รักการอยู่เป็นแก๊ง ชอบส่งเสียงเบา ๆ เหมือนคุยด้วย |
| ชินชิล่า | ขี้อายแต่ขี้สงสัย ชอบสำรวจ และผลัดขนเมื่อหนีศัตรู |
| แพรี่ด็อก | ชอบยืนสองขาสอดส่อง ส่งเสียงคล้ายสุนัขเห่า |
| ชูการ์ไกลเดอร์ | นักร่อนตัวจิ๋ว ขี้เล่น ติดเจ้าของมาก |
| บุชเบบี้ | ชอบกระโดดดึ๋ง ๆ และปีนป่ายยามค่ำคืน |
| เฟอเรท | เล่นเก่งเหมือนเด็กซน เงียบ ไม่ค่อยส่งเสียง |
| เฟนเน็ค ฟ็อกซ์ | เหมือนรวมหมากับแมวไว้ในตัวเดียว บางครั้งก็สันโดษเหมือนแมว แต่ก็ชอบเล่นเหมือนหมา |
1. เม่นแคระ (Hedgehog)

เม่นแคระ (Hedgehog) เจ้าก้อนขนแหลมแสนซน หน้าตาคล้ายเม่นแต่ตัวเล็กน่ารักเท่าหนูตะเภา เวลาเดินก็จะดุ๊กดิ๊กเหมือนลูกหมูน้อย ถึงจะมีขนแหลมแต่ไม่เจ็บ ปกติน้องชอบหามุมเงียบ ๆ ไว้ซ่อนตัว เหมือนกำลังเล่นซ่อนหากับเจ้าของตลอดเวลา
ลักษณะนิสัยของเม่นแคระ
แม้จะดูมีหนามรอบตัว แต่น้องเม่นแคระเป็นสัตว์ขี้อาย ถ้าเจออะไรแปลก ๆ ก็จะรีบขดตัวกลมเหมือนลูกบอลน้อย ๆ แต่ถ้าได้กลิ่นคุ้นเคยจากทาสที่รักแล้ว จะคลายความกลัวออกมาอย่างไว และยอมให้อุ้มแบบไม่ขัดใจเลย
วิธีการดูแลเม่นแคระเบื้องต้น
- อาหาร: น้องเม่นแคระกินไม่ยาก อาหารหลักคืออาหารสำเร็จรูปสำหรับเม่นแคระ หรืออาหารแมวเม็ดเล็ก ๆ แล้วเสริมด้วยเมนูโปรด อย่างหนอนนก (ทั้งสดและอบแห้ง) รวมถึงแมลงต่าง ๆ อย่างจิ้งหรีด แต่ถ้าอยากให้น้องสุขภาพดี ควรเติมผักและผลไม้เล็กน้อยเพื่อเพิ่มไฟเบอร์และช่วยคุมแคลอรี
- สถานที่เลี้ยง: เลือกที่กั้นแบบพื้นเรียบและปลอดภัย ให้อุณหภูมิอยู่ระหว่าง 25-35°C และควรรักษาความชื้นในช่วง 40-70% น้องจะได้อยู่สบาย ไม่เครียด และไม่เจ็บป่วยง่าย
- อาบน้ำ 1-2 ครั้งต่อเดือน: ช่วยให้อารมณ์ดีสดชื่น พร้อมลดเสี่ยงโรคเชื้อรา โรคผิวหนัง
2. หนูแกสบี้ (Guinea Pig)

หนูแกสบี้หรือหนูตะเภา (Guinea Pig) บางคนเรียกว่า “หนูเควี่” เจ้าต้าวอ้วนสุดน่ารักที่มีทั้งแบบขนสั้น ขนยาว หรือแม้แต่ไม่มีขนเลย ปัจจุบันเป็น Exotic Pet ยอดฮิต เพราะความน่ารัก เวลาดูน้อง ๆ นอนงีบกลางวัน ยิ่งละลายใจ
ลักษณะนิสัยของหนูแกสบี้
เจ้าตัวกลมนี้เป็นสัตว์สังคม ควรเลี้ยงเป็นคู่หรือหลายตัว จะได้ไม่เหงาและชอบให้อุ้มในอ้อมแขน ไม่ชอบการถูกไล่ต้อนหรือจับแรง ๆ โดยเฉพาะก้น ห้ามจับเด็ดขาดนะ! ด้วยสัญชาตญาณดั้งเดิมที่เคยเป็นสัตว์เหยื่อ หนูแกสบี้จะไม่ค่อยชอบพื้นที่โล่งกว้าง เพราะทำให้รู้สึกไม่ปลอดภัย ถ้าจะพาออกไปเที่ยว ต้องมีที่ให้ซุกตัวไว้เสมอ
วิธีการดูแลหนูแกสบี้เบื้องต้น
- อาหาร: หนูแกสบี้ต้องการใยอาหารและวิตามินซีสูงมาก เพราะร่างกายของน้อง ๆ ไม่สามารถสร้างวิตามินซีได้เอง อาหารหลักคือ หญ้าแห้งและหญ้าสด ส่วนของว่างสามารถให้ผักและผลไม้สดได้ เช่น ผักโขม โหระพา หรือแครอท ประมาณ 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์
- สถานที่เลี้ยง: อุณหภูมิที่เหมาะสมสำหรับหนูแกสบี้อยู่ที่ 25-27°C หากร้อนเกินไป น้องอาจเสี่ยงเป็นฮีตสโตรกได้ ภายในกรงควรมีวัสดุที่ช่วยให้อบอุ่น และมีที่ซ่อนตัวให้น้องรู้สึกปลอดภัย จะได้สบายใจไม่เครียด
- ควรทำความสะอาดกรงทุกสัปดาห์: และควรอาบน้ำ อบไดร์เป่าแห้ง พร้อมทั้งหวีขนให้น้องทุก ๆ 2 สัปดาห์ เพื่อให้น้องสะอาด หอมฟุ้ง และสุขภาพดี
3. ชินชิล่า (Chinchilla)

หน้าคล้ายหนู หูเหมือนกระต่าย หางยาวฟูคล้ายกระรอก ต้องยกให้ชินชิล่า (Chinchilla) Exotic Pet ตัวจิ๋วสุดคิวต์ที่ขึ้นชื่อว่ามีขนนุ่มที่สุดในโลก เวลาลูบขนน้องเหมือนสัมผัสผ้ากำมะหยี่นุ่ม ๆ เลยทีเดียว
ลักษณะนิสัยของชินชิล่า
แม้จะขี้อาย ชอบซ่อนตัวตามสัญชาตญาณ แต่ก็ขี้สงสัย ชอบออกสำรวจพื้นที่ใหม่ ๆ อยู่เสมอ
วิธีการดูแลชินชิล่าเบื้องต้น
- อาหาร: น้องชินชิล่ากินง่ายมาก เมนูหลักคือ หญ้าแห้ง ที่ช่วยเรื่องระบบทางเดินอาหาร
- สถานที่เลี้ยง: ควรเป็นกรงลวด เพื่อป้องกันการกัดแทะ โดยระยะห่างของซี่กรงไม่ควรเกิน 1 นิ้วเพื่อความปลอดภัย และควรรองพื้นด้วยวัสดุที่ย่อยสลายได้ เช่น กระดาษ ป้องกันน้องเกิดอันตรายหากกินเข้าไป
- ควรอาบน้ำสัปดาห์ละสองครั้ง: ด้วยทรายอาบน้ำสำหรับชินชิล่าโดยเฉพาะ จะช่วยให้ขนนุ่มฟูสะอาด และลดความมันบนผิวหนัง หากโดนน้ำจะแห้งยากและอาจทำให้น้องป่วยได้
4. แพรี่ด็อก (Prairie Dog)

แพรี่ด็อก (Prairie Dog) หรือที่บางคนเรียกว่ากระรอกดิน เป็นเจ้าตัวอ้วนสุดซน ดวงตากลม ฟันแข็งแรง และมีท่าประจำตัวคือ ยืนสองขา คอยสอดส่องรอบ ๆ เวลาทักทายจะมีพฤติกรรมยิงฟันหรือแตะปากกันคล้ายจูบหรือกอดเบา ๆ มีเสียงคล้ายเสียงสุนัขเห่า เลยเป็นที่มาของชื่อ
ลักษณะนิสัยของแพรี่ด็อก
น้องเลี้ยงง่าย แข็งแรง และฉลาด สามารถเรียนรู้คล้ายสุนัข ส่งเสียงเรียก จดจำเจ้าของได้ ขี้อ้อน แต่ถ้าเป็นคนแปลกหน้าแล้วเผลอเอามือไปจับ ต้องระวังอาจโดนน้องกัดได้นะ
วิธีการดูแลแพรี่ด็อกเบื้องต้น
- อาหาร: เมนูหลักของแพรี่ด็อกคือ หญ้าแห้ง เช่น หญ้าทิโมธี หญ้าแพงโกล่า และหญ้าขน เสริมด้วยผลไม้และผักเล็กน้อย เช่น แอปเปิ้ล ฝรั่ง หรือมันเทศ แต่ควรเลี่ยงผลไม้ที่มีน้ำเยอะ เพราะอาจทำให้น้องท้องเสียได้
- สถานที่เลี้ยง: แพรี่ด็อกเป็นสายกัดเก่งและปีนเก่งมาก กรงหรือบ้านควรทำจากวัสดุแข็งแรงและปลอดภัย ป้องกันไม่ให้น้องแทะจนพัง หรือปีนหนีออกมาแล้วเกิดอุบัติเหตุได้ ความชื้นในที่เลี้ยงไม่ควรเกิน 70% เพื่อลดความเสี่ยงโรคทางเดินหายใจ
5. ชูการ์ไกลเดอร์ (Sugar Glider)

น้องชูการ์ไกลเดอร์ (Sugar Glider) หรือที่บางคนเรียกว่าจิงโจ้ร่อน เป็น Exotic Pet หน้าตาคล้ายจิงโจ้จิ๋ว ดวงตากลมโต หางฟูฟ่อง ยิ่งได้ฝึกมือกับเจ้าของบ่อย ๆ น้องจะยิ่งผูกพัน จนกลายเป็นบัดดี้ตัวน้อยที่ติดหนึบ ไปไหนไปกัน และถึงจะมีหลายสายพันธุ์ให้เลือก แต่ความต่างมักอยู่ที่สีขนเท่านั้น เช่น
- แบล็คบิวตี้ (Black Beauty) มีรอบดวงตาสีเข้มคล้ายอายไลเนอร์
- ไลออน (Lion) ขนสีน้ำผึ้ง ใบหน้าคล้ายสิงโต
- ลูซิสติก (Leucistic) สีขาวล้วน ไม่มีลาย ดวงตาสีดำสนิท
ลักษณะนิสัยของชูการ์ไกลเดอร์
น้องเป็นนักนอนกลางวัน แต่จะลุกมาคึกคักตอนกลางคืน ถ้าไปกวนตอนหลับ น้องอาจขู่และหงุดหงิดใส่ได้ แต่พอถึงเวลาเล่น น้องจะสนุกสุดเหวี่ยง วิ่ง กระโดด แต่ไม่ควรเลี้ยงเดี่ยวนะ เพราะน้องขี้เหงาและเครียดง่าย ควรมีเพื่อนเลี้ยงคู่กันเสมอ
วิธีการดูแลชูการ์ไกลเดอร์เบื้องต้น
- อาหาร: เมนูหลักคือ แมลงประมาณ 50% ส่วนอีก 50% ควรเป็นอาหารที่ให้น้ำตาลหรือคาร์โบไฮเดรต เช่น ผลไม้สด หรือเนกตาร์จากยางไม้ เพื่อเติมพลังงานและสามารถเสริมผลไม้หลากหลายชนิดได้
- สถานที่เลี้ยง: บ้านของน้องควรเป็นกรงแนวตั้งที่มีพื้นที่ให้ปีนป่ายและกระโดดได้เพลิน ๆ
- ชวนเล่นบ้าง: น้องชูการ์ไกลเดอร์เป็นสายขี้เบื่อมาก ต้องมีของเล่นใหม่ ๆ มาเปลี่ยนบรรยากาศบ่อย ๆ และอย่าลืมแบ่งเวลาเล่นกับน้องทุกวัน เพื่อเชื่อมความผูกพัน
6. บุชเบบี้ (Bush Baby)

น้องลิงตัวจิ๋วสุดแบ๊ว บุชเบบี้ (Bush Baby) เป็น Exotic Pet จากแอฟริกาใต้ ดวงตากลมโต หูตั้งขยับได้ และหางยาวฟูช่วยทรงตัวได้ดี คล่องแคล่ว ว่องไว และชอบกระโดด
ลักษณะนิสัยของบุชเบบี้
น้องบุชเบบี้ ปกติจะคึกคักตอนพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า กระโดดดึ๋ง ๆ ไปมาเหมือนจิงโจ้ แต่พอถึงกลางวัน น้องจะนอนยาว ตาปรือ ถึงอย่างนั้นบุชเบบี้ก็ปรับตัวได้ตามเจ้าของ แถมยังมีเสียงคล้ายทารกร้องไห้ จนกลายมาเป็นที่มาของชื่อ “Bush Baby”
วิธีการดูแลบุชเบบี้เบื้องต้น
- อาหาร: น้องบุชเบบี้ชอบผลไม้รสหวาน อย่างกล้วย มะม่วงสุก มะละกอ หรือแอปเปิ้ล เสริมด้วยแมลง เช่น หนอน จิ้งหรีด ไข่นก หรือแม้แต่นมแพะกับอาหารสำเร็จรูป
- สถานที่เลี้ยง: เพราะน้องกระโดดได้ไกลมาก ควรมีพื้นที่ให้ปีนป่าย และพาออกมารับแสงแดดอ่อน ๆ ตอนเช้าเพื่อสุขภาพแข็งแรงและได้รับวิตามินดี
- ควรรักษาความสะอาดของคอกเสมอ: เพราะบุชเบบี้ค่อนข้างไวต่อปัญหาสุขภาพ ทั้งระบบหายใจ ระบบย่อยอาหาร และปรสิต
7. เฟอเรท (Ferret)

น้องเฟอเรท (Ferret) Exotic Pet สุดปุ๊กปิ๊กที่มีรูปร่างเพรียวยาว ขาสั้น หน้าตาทะเล้น มีนิสัยซุกซน ถึงจะมีกลิ่นเฉพาะตัวคล้ายน้องหมาหรือน้องแมวที่ไม่ได้อาบน้ำ แต่ความน่ารักก็กลบทุกอย่างมิดเลย
ลักษณะนิสัยของเฟอเรท
น้องขี้เล่น ร่าเริง และซุกซนตลอดเวลา มักชอบขโมยของไปซ่อนเหมือนเล่นเกมลับเฉพาะกับทาส แต่ก็นอนยาวได้ทั้งวัน หากถูกเมิน น้องอาจเรียกร้องความสนใจด้วยการงับเบา ๆ หรือกัดข้าวของบ้าง โดยปกติจะไม่ค่อยส่งเสียง ยกเว้นตอนคึกคัก หงุดหงิด หรือรู้สึกไม่ปลอดภัย
วิธีการดูแลเฟอเรทเบื้องต้น
- อาหาร: เมนูหลักคือเนื้อสัตว์ เช่น ไก่ ไก่งวง เป็ด วัว แกะ กระต่าย ไปจนถึงปลาทูน่า ลูกเจี๊ยบ หรือหนู รวมถึงไข่ไก่ ไข่เป็ด หรือไข่นกกระทาทั้งแบบดิบและลวก อาหารเม็ดสำหรับเฟอเรท หรืออาหารแมวก็ได้เช่นกัน แต่กินแป้ง ผัก และผลไม้ไม่ได้
- ยิ่งอาบน้ำบ่อย กลิ่นจะยิ่งแรง: เพราะร่างกายเฟอเรทจะผลิตน้ำมันใต้ขนขึ้นมาทดแทน ควรอาบน้ำเพียง 1-2 ครั้งต่อเดือน หรือใช้ทิชชู่เปียกสำหรับสัตว์เช็ดทำความสะอาดแทน
8. เฟนเน็ค ฟ็อกซ์ (Fennec Fox)

เฟนเน็ค ฟ็อกซ์หรือจิ้งจอกทะเลทราย (Fennec Fox) เป็นจิ้งจอกน้อยตัวจิ๋วที่สุดในโลก น้ำหนักไม่ถึง 1.5 กิโลกรัม ใบหูขนาดใหญ่กว้างช่วยระบายความร้อน และขนยาวฟูนุ่มที่เก็บความอบอุ่นและปกป้องผิวจากแสงแดด นิสัยน่ารักเหมือนรวมทั้งหมาและแมวในตัวเดียวกัน
ลักษณะนิสัยของเฟนเน็ค ฟ็อกซ์
น้องขี้เล่น ซุกซน ฉลาด และมีไหวพริบ บางทีก็ทำตัวสันโดษแบบแมว แต่บางเวลาก็คึกคักเหมือนหมาน้อย มีพลังงานล้นเหลือ ชอบคุ้ยสิ่งของเป็นที่สุด ยิ่งเวลา ตื่นเต้นหรือตกใจ จะส่งเสียงแหลมเล็ก ๆ ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว
วิธีการดูแลเฟนเน็ค ฟ็อกซ์เบื้องต้น
- อาหาร: เมนูหลักควรเป็นอาหารสุนัขคุณภาพดีผสมกับแมลงตัวเล็ก ๆ และเสริมผักผลไม้หลากหลายชนิดเพื่อให้ได้สารอาหารครบถ้วน
- ออกกำลังกายเป็นประจำ: น้องเป็นสายพลังงานล้นเหลือ ต้องพาไปวิ่งเล่น หรือหาพื้นที่ดินนิ่ม ๆ ให้น้องได้ขุดโพรง ได้ปล่อยพลัง ไม่งั้นอาจเกิดอาการเครียดได้
- ใส่ใจเรื่องความสะอาด: เฟนเน็ค ฟ็อกซ์ค่อนข้างบอบบางและเสี่ยงต่อการติดเชื้อ จึงต้องใส่ใจความสะอาด แต่ไม่จำเป็นต้องอาบน้ำบ่อย เพราะน้องแทบไม่มีกลิ่นตัวอยู่แล้ว
3 ข้อควรรู้ก่อนเลี้ยง Exotic Pet ที่บ้าน

1. กฎหมายเกี่ยวกับเลี้ยง Exotic Pet
ก่อนเลี้ยง Exotic Pet ควรตรวจสอบว่าสายพันธุ์ที่สนใจเลี้ยงอยู่ภายใต้ข้อกำหนดของ อนุสัญญาไซเตส (CITES) หรือไม่ โดยอนุสัญญานี้แบ่งสัตว์ออกเป็น 3 บัญชีหลัก
- บัญชี 1: ห้ามค้าขายโดยเด็ดขาด เนื่องจากเป็นสัตว์ใกล้สูญพันธุ์ เช่น แมวป่าหัวแบน เต่ากระ หรือจระเข้น้ำจืด
- บัญชี 2: อนุญาตให้ขายและเลี้ยงได้ แต่ต้องควบคุมจำนวน เช่น แมวป่า นกยูง หรือเหยี่ยวขาว
- บัญชี 3: ได้รับการคุ้มครองในบางประเทศ และต้องอาศัยความร่วมมือประเทศภาคีในการนำเข้า เช่น หมาจิ้งจอก งูแมวเซา หรือไก่ฟ้าหน้าเขียว
นอกจากนี้ ต้องตรวจสอบด้วยว่าสัตว์ที่ต้องการเลี้ยง อยู่ในกลุ่มสัตว์ป่าสงวนหรือคุ้มครองของไทยหรือไม่ เช่น เก้งหม้อ สมเสร็จ พะยูน ฯลฯ เพื่อให้เลี้ยงได้อย่างถูกกฎหมาย และตั้งแต่ 10 มกราคม พ.ศ. 2569 กรุงเทพมหานครจะมีข้อบัญญัติสัตว์เลี้ยงใหม่ ที่กำหนดให้เจ้าของต้องขึ้นทะเบียนสัตว์เลี้ยง คุมจำนวนที่เลี้ยง และการดูแลเมื่อนำออกนอกบ้าน เพื่อความปลอดภัยด้วย
2. ความพร้อมในการดูแล
สัตว์เลี้ยง Exotic Pet ต้องการการดูแลเฉพาะ ทั้งเรื่องที่อยู่อาศัย อาหาร และสุขภาพ หากเลี้ยงไม่ถูกวิธีอาจทำให้น้องอ่อนแอหรือเสียชีวิตได้ อีกทั้งต้องระวังไม่ให้น้องหลุดออกสู่ธรรมชาติ เพราะอาจรบกวนสมดุลของระบบนิเวศ จึงควรศึกษาลักษณะนิสัยและวิธีดูแลเบื้องต้นให้เข้าใจ พร้อมเลือกให้สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของตัวเอง ให้ช่วงเวลาที่อยู่ร่วมกันเต็มไปด้วยความสุขทั้งสองฝ่าย
3. งบประมาณที่สูงกว่าสัตว์เลี้ยงทั่วไป
การเลี้ยงสัตว์ Exotic Pet มักมีค่าใช้จ่ายมากกว่า ทั้งค่าอาหารเฉพาะสายพันธุ์ (กรณีกินอาหารเม็ดของสัตว์เลี้ยงทั่วไปไม่ได้) กรงหรืออุปกรณ์ที่ต้องควบคุมอุณหภูมิและความชื้น รวมถึงค่ารักษาพยาบาลที่หาคลินิกเฉพาะได้ยากกว่ามะหมาหรือเจ้าเหมียว เพื่อให้น้องมีชีวิตที่ดี แข็งแรง และมอบความสุขให้กับเราไปได้อีกยาวนาน
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการเลี้ยง Exotic Pet
1. Exotic Pet เลี้ยงยากไหม?
การเลี้ยง Exotic Pet เลี้ยงยากหรือไม่ ขึ้นอยู่กับชนิดของสัตว์ บางชนิดเลี้ยงง่าย กินอาหารทั่วไป ไม่ซนมาก เช่น เม่นแคระ หรือหนูแกสบี้ แต่บางชนิดต้องการการดูแลใกล้ชิด เช่น เฟนเน็ค ฟ็อกซ์ที่พลังงานเยอะ หรือเฟอเรทที่กินอาหารได้เฉพาะเนื้อสัตว์และอาหารเม็ดเท่านั้น
2. Exotic Pet เลี้ยงในคอนโดได้ไหม?
Exotic Pet เลี้ยงในคอนโดได้ แต่ควรเลือกชนิดที่เหมาะกับพื้นที่ เช่น เม่นแคระ หนูแกสบี้ หรือชูการ์ไกลเดอร์ เพราะเลี้ยงง่าย ดูแลง่าย และไม่ส่งเสียงดังจนรบกวนเพื่อนบ้าน ทั้งนี้ควรเช็กก่อนเลี้ยงว่ากฎของคอนโดอนุญาตให้เลี้ยงประเภทใดได้บ้าง
3. Exotic Pet ชนิดไหนเหมาะกับมือใหม่ที่สุด?
Exotic Pet ที่เหมาะกับมือใหม่ ควรเลือกสายพันธุ์ที่กินง่าย อยู่ง่าย และมีความเชื่องในระดับหนึ่ง เช่น เม่นแคระ ขนาดเล็ก ไม่เสียงดัง กินง่าย อยู่ในกรงเล็ก ๆ ได้สบาย หนูแกสบี้ ตัวกลมขี้อ้อน เป็นมิตร เลี้ยงง่าย แต่ควรเลี้ยงเป็นคู่เพราะน้องขี้เหงา ชูการ์ไกลเดอร์ ตัวจิ๋ว ติดเจ้าของ ขี้เล่น แต่ต้องมีเวลาเล่นกับน้องทุกวันเพื่อสร้างความผูกพัน
รวมสาระดี ๆ เรื่องสายพันธุ์สัตว์เลี้ยง ด้วยบทความน่ารู้จาก AP Thai
- สัตว์เลี้ยงตัวเล็ก สุดน่ารัก พื้นที่น้อยก็เลี้ยงได้
- สายพันธุ์สุนัขยอดฮิต ขนาดเล็ก-ใหญ่ น่าเลี้ยงในบ้านและคอนโด
- สายพันธุ์แมวยอดฮิต สุดน่ารัก เลี้ยงง่ายทั้งในบ้านและคอนโด
เอพีไทยแลนด์ ช่วยเติมเต็มความหมายของชีวิต
เลือกเป็นเจ้าของโครงการบ้านจาก เอพีไทยแลนด์ เพื่อสร้างชีวิตดี ๆ บนพื้นที่ความสุขที่เราเลือกเอง ไม่ว่าจะเป็น โครงการบ้านเดี่ยวพื้นที่กว้างขวางเป็นส่วนตัว ทาวน์โฮมดีไซน์สวยหรือบ้านแฝดฟังก์ชันใหญ่ คอนโดมิเนียมทำเลติดรถไฟฟ้าเดินทางง่าย และโฮมออฟฟิศฟังก์ชันเจ๋งที่รองรับทุกธุรกิจ สามารถเลือกได้ตามต้องการ เพราะ “บ้าน” ไม่ใช่แค่ที่อยู่อาศัย
EMPOWER LIVING อยู่ .. เพื่อทุกความหมายของคุณ









