หลายคนทราบกันดีว่าการจะประสบความสำเร็จได้นั้นต้องเริ่มจากการวางแผนก่อน จากนั้นค่อยลงมือทำ แต่ในชีวิติตจริงนั้น การเริ่มต้นลงมือทำอย่างเดียวคงจะไม่เพียงพอให้เราไปถึงเป้าหมายที่วางไว้ได้ แต่ยังต้องอาศัยการปรับเปลี่ยนแนวความคิด และการนำเทคนิคต่างๆ มาปรับใช้ โดยเฉพาะในเรื่องของการพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เราเข้าใกล้เป้าหมายได้มากขึ้น ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคที่เกิดขึ้นระหว่างทาง
ทำไมเราจึงควรพัฒนาตัวเอง?
สำหรับใครที่คิดว่าชีวิตทุกวันนี้ประสบความสำเร็จแล้ว ไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเติมอีก แบบนี้เรียกว่าอยู่ใน “คอมฟอร์ตโซน” ซึ่งจะทำให้เราไม่ได้มีการพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้น เพราะคิดว่าที่เป็นอยู่นั้นดีอยู่แล้ว
การรอโอกาสในการทำงาน หรือโอกาสทางธุรกิจวิ่งเข้าชนเป็นอะไรที่ล้าสมัยไปแล้ว การสร้างโอกาสให้กับตัวเองต่างหาก คือ วิธีคิดสำหรับผู้ที่ต้องการประสบความสำเร็จในด้านต่างๆ ของชีวิต เรามาดูกันเลยว่าข้อดีในของผู้ที่ใส่ใจในการพัฒนาตัวเอง นั้นมีอะไรบ้าง
-
ได้เรียนรู้สิ่งใหม่อยู่เสมอ
เพราะในแต่ละวันเราต้องพบเจอกับเหตุการณ์ต่างๆ มากมาย แต่สำหรับผู้ที่รักในการพัฒนาตัวเองมักจะ “ตั้งคำถามและหาคำตอบ” กับสิ่งต่างๆ รอบตัวอยู่เสมอ หรือแม้ระหว่างทางของการหาคำตอบ จะพบเจอกับคำถามใหม่ๆ เพิ่มอีกก็จะไม่หยุดหย่อนและย่อท้อต่อการหาคำตอบ ซึ่งเป็นการเพิ่มพูนความรู้และการเรียนรู้สิ่งต่างๆ มากขึ้นในทุกวันนั่นเอง
-
ถึงเป้าหมายดังใจหวัง
คนที่ประสบความสำเร็จ มักมีเป้าหมายที่ชัดเจน รวมถึงมีการวางแผนที่ดีและรัดกุมเสมอ เมื่อนำความรู้ที่ได้ศึกษาค้นคว้ามาผนวกเข้ากับเป้าหมาย แม้ระหว่างทางจะต้องเผชิญกับปัญหาหรืออุปสรรคมากมายและหนักหนาเพียงใดก็ตามจะไม่ย่อท้อ เพราะมองว่าอุปสรรคเหล่านี้คือสิ่งที่จะช่วยเพิ่มพูนความรู้และประสบการณ์ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ คนเหล่านี้มีแนวความคิดในการพัฒนาตัวเองนั่นเอง จึงส่งผลให้ก้าวไปถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้นั่นเอง
นิสัยแย่ๆ ที่ไม่ช่วยพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้น
การพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้น ต้องเริ่มจากการปรับเปลี่ยนแนวความคิด พฤติกรรม และนิสัยก่อน เนื่องจาก “พฤติกรรม” หากทำซ้ำๆ หรือบ่อยๆ ก็จะกลายเป็น “นิสัย” ซึ่งนิสัยบางอย่างควรจะโยนมันทิ้งไป เพราะมันอาจจะเป็นตัวการที่ฉุดคุณไว้ไม่ให้เติบโตและก้าวไปสู่ความสำเร็จ เช่น
-
ผัดวันประกันพรุ่ง
ข้ออ้างที่ถูกหยิบยกมาบอกตัวเอง เช่น เจองานชิ้นไหนที่ไม่ถนัด เก็บเอาไว้ทำพรุ่งนี้ เพราะงานยากต้องใช้เวลา เจองานชิ้นไหนง่ายใช้เวลาทำครู่เดียวเดี๋ยวก็เสร็จ เอาไว้ทำพรุ่งนี้เช่นกัน เพราะใช้เวลาไม่นานก็เสร็จ แต่หากพิจารณาดีๆ ไม่ได้ขึ้นอยู่ที่ชิ้นงานว่ายากหรือง่าย แต่ขึ้นอยู่กับนิสัยที่ชอบผัดวันประกันพรุ่ง ซึ่งเป็นลักษณะนิสัยของคนทำงานที่ไม่เป็นมืออาชีพ
-
คิดลบ มองโลกในแง่ร้าย
เพราะในชีวิตมักมีบททดสอบเข้ามาอยู่เสมอ เมื่อมีเหตุการณ์ร้ายๆ เวียนเข้ามาในชีวิต ความคิดในแง่ลบมักทำงานได้เร็วกว่าความคิดในแง่บวกเสมอ
การมองโลกในแง่ร้ายนั้นไม่เคยให้ผลดีมีแต่บั่นทอนกำลังใจ ทำให้ขาดสติที่จะคิดวางแผนเพื่อแก้ไข ดังนั้น ทันทีที่รู้ว่ามีความคิดในแง่ลบเกิดขึ้นจิตใจ ควรตั้งสติและมองหาแง่ดี เพื่อให้เห็นว่าทุกอย่างนั้นมีทางออกเสมอ เพื่อที่เราจะก้าวต่อไปด้วยใจที่มีพลังได้
แต่หากคุณไม่สามารถไปต่อได้ด้วยตัวคนเดียวจริงๆ การขอความช่วยเหลือจากผู้คนที่อยู่รอบๆ ตัวก็ไม่ใช่เรื่องผิด เพราะบางครั้งสิ่งที่ได้เจอก็หนักหนาเกินกว่าที่คนๆ เดียวจะรับไหว ยังไงหลายหัวย่อมดีกว่าหัวเดียว ลองปรึกษาเพื่อนสนิท เพื่อนร่วมงาน หรือครอบครัว จะช่วยให้คุณก้าวต่อไปได้ง่ายขึ้น
-
ไม่เคยดีพอ เปรียบเทียบกับคนอื่นเสมอ
การเปรียบเทียบตัวเองกับผู้อื่นเพื่อการพัฒนาตัวเองเป็นสิ่งที่ดี แต่การมุ่งมั่นและมีจิตใจจดจ่ออยู่กับการเปรียบเทียบจะส่งผลให้เราสูญเสียความเป็นตัวเอง ขาดสติ และขาดเป้าหมายที่ชัดเจนได้ง่ายมาก จิตใจจะมีแต่ความอิจฉา รุ่มร้อน และเศร้าหมอง ต้องการที่จะเอาชนะอย่างเดียว
เมื่อการเปรียบเทียบทำให้พบว่าเราด้อยกว่าคนอื่น ทำงานผิดพลาดหรือบริหารงานพลาด เราจะรู้สึกและบอกกับตัวเองว่าเราไม่ดีพอ เมื่อจิตสั่งสมองตัวเองตอกย้ำว่าไม่ดีพอ เราก็จะไม่อยากทำอะไร เพราะทำไปก็ไม่สำเร็จ หมดไฟที่จะพัฒนาตัวเองในที่สุด เพราะใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว
-
จมอยู่กับความผิดพลาด
ความผิดพลาดที่ผ่านมาไม่ได้เป็นเครื่องชี้วัดว่า นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปและอนาคตเราจะผิดพลาดไปตลอดชีวิต เพียงแต่ความผิดพลาดในอดีตที่เกิดขึ้นจะเป็นเครื่องเตือนสติให้เราได้ตระหนักรู้ว่าเราจะไม่ให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวซ้ำอีก ไม่ควรเดินทางเก่าอีก ในอดีตอาจมีน้ำตา แต่วันหน้าอาจมีรอยยิ้ม หากมูฟออนและใช้ความผิดพลาดที่ผ่านมาเป็นหนึ่งในวิธีพัฒนาตัวเอง
เทคนิคการพัฒนาตนเองที่ทำให้คุณเป็นคนใหม่
การพัฒนาตัวเองต้องอาศัยการปรับเปลี่ยนวิธีคิดและเทคนิคต่างๆ มาผสมผสานเข้าด้วยกัน ซึ่งเทคนิคดังกล่าว ได้แก่
-
เปลี่ยนความคิด พร้อมเรียนรู้
คนเราไม่มีใครทำถูกต้องไปเสียทุกอย่าง และไม่มีใครทำผิดพลาดได้ทุกอย่างเช่นกัน แต่การที่ไม่กล้าทำอะไร เพราะกลัวความผิดพลาด สิ่งนี้ถือเป็นวิธีคิดที่ควรปรับเปลี่ยน ความคิดเช่นนี้จะเป็นตัวปิดกั้นการเรียนรู้และปิดกั้นการพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้น ซึ่งเท่ากับเราจะไม่ได้เรียนรู้อะไรเพิ่มเติม ไม่ได้พัฒนาตัวเองนั่นเอง
-
ตั้งเป้าหมาย แล้วไปให้ถึง
ให้ตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนก่อน ลิสต์ภาระกิจออกมาเป็นข้อๆ ว่าอะไรที่เราและทีมงานต้องทำร่วมกันบ้าง แล้วค่อยนำแต่ละข้อนั้นมาเป็นตัวเปรียบเทียบว่าในวันแรกกับวันนี้เราเดินทางมาไกลเท่าไหร่แล้ว สำเร็จไปแล้วกี่เรื่อง เป็นการวัดความสำเร็จได้ในแต่ละขั้น ที่สำคัญ เป้าหมายและภาระกิจย่อยนั้นต้องอยู่บนพื้นฐานของความท้าทายที่เป็นไปได้ วัดผลได้ และต้องกำหนดระยะเวลาเอาไว้อย่างชัดเจนด้วยเช่นกันว่าเมื่อไหร่ที่ควรไปถึงเป้าหมายนั้น
-
มองหาจุดแข็งของตัวเอง
การมองหาจุดแข็งของตัวเอง จะทำให้เราเข้าใจแนวคิดและพฤติกรรมของตัวเองที่ผ่านมาได้มากขึ้น รู้จักการนำจุดแข็งของตัวเองไปใช้กับการทำงานได้ดี เป็นผู้นำที่ดี และที่สำคัญ เมื่อเราเห็นจุดแข็งของตัวเองแล้ว เราก็จะสามารถมองเห็นจุดแข็งของทีมงานได้เช่นกัน ซึ่งจะนำไปสู่การมอบหมายงานได้ตรงกับความสามารถของแต่ละคนได้มากขึ้น ส่งผลให้ทีมงานทำงานได้อย่างมีความสุข รวมถึงเป็นการเพิ่มคุณภาพของชิ้นได้อีกด้วย
-
เรียนรู้จากความผิดพลาด
อย่ากลัวที่จะพูดถึงความผิดพลาดของตัวเองในอดีต เพราะนั่นคือ ประสบการณ์สำคัญที่จะทำให้เราไม่ก้าวพลาดเหมือนเคย เราควรนำความผิดพลาดในอดีตมาถอดบทเรียนว่าวิธีคิดใด รวมถึงวิธีการใดที่ทำให้เกิดเหตุการณ์นั้นๆ ขึ้น ความผิดพลาดไม่ใช่เรื่องที่น่ากลัว แต่ความผิดพลาดคือ ครูที่ดีที่สุดในชีวิตจริง
-
รับฟังและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับคนอื่น
ข้อนี้นับเป็นอีกหนึ่งวิธีพัฒนาตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นการทำงานประจำหรือจะเป็นธุรกิจส่วนตัว การมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี รู้จักการเข้าสังคม และสร้างคอนเนคชั่นจึงเป็นสิ่งจำเป็น เพราะเราไม่สามารถทำทุกอย่างได้คนเดียว การที่จะประสบความสำเร็จก็ไม่สามารถทำได้คนเดียวเช่นกัน การเข้าสังคมทำให้ได้แลกเปลี่ยนมุมมองทางความคิด รวมถึงวิธีการจัดการและบริหารในด้านต่างๆ ได้ ซึ่งสิ่งนี้นับเป็นส่วนหนึ่งที่จะทำให้ไปถึงเป้าหมายและประสบความสำเร็จได้รวดเร็วขึ้น
-
ให้รางวัลกับตัวเองบ้าง
การเรียนรู้เพื่อการพัฒนาตัวเองเป็นเรื่องที่ดี แต่การมุ่งมั่นพัฒนาหรือการฝึกฝนมากเกินไปสามารถส่งผลให้เกิดความท้อถอย เหนื่อยล้าได้ทั้งกายและใจ ที่สำคัญ อาจเกิดความเครียดสะสมโดยไม่รู้ตัว ฉะนั้นการให้รางวัลตัวเองได้พักบ้าง ผ่อนคลายบ้าง หรือมีความสุขกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งบ้าง จึงเป็นเรื่องที่ควรทำอย่างยิ่ง เมื่อร่างกายและจิตใจได้พักได้เติมความสุขแล้ว ก็จะทำให้มีแรงไปต่อเพื่อเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้ ที่สำคัญ อย่ารู้สึกผิดที่จะให้รางวัลกับตัวเอง เพราะตามทฤษฎีทางจิตวิทยาแล้ว การให้รางวัลตัวเอง เท่ากับเป็นการเสริมแรงในด้านบวก เพื่อให้เราได้ไปถึงเป้าหมายได้อย่างมีความสุข
-
ดูแลสุขภาพอยู่เสมอ
วิธีพัฒนาตัวเอง นอกจากจะเริ่มจากภายในคือ การมีสุขภาพจิตที่ดีและการมองโลกในแง่บวกแล้ว การมีสุขภาพกายที่ดีก็เป็นเรื่องสำคัญไม่แพ้กัน โดยระหว่างที่เราพัฒนาตัวเองเราก็สามารถดูแลสุขภาพร่างกายควบคู่กันไปได้ เพราะเมื่อใดก็ตามที่สุขภาพกายไม่เอื้อต่อการเรียนรู้แล้วต่อให้ใจอยากเรียนรู้ อยากพัฒนาต่อก็ไม่สามารถทำได้ ซึ่งจะกลายเป็นสิ่งที่บั่นทอนตัวเองและยืดอายุการไปถึงเป้าหมายออกไปได้เช่นกัน ดังนั้น เมื่อสุขภาพจิตดีก็อย่าลืมดูแลสุขภาพกายควบคู่กันไปด้วย เพื่อการไปถึงเป้าหมายได้อย่างแข็งแรงและเป็นสุข
คงปฏิเสธไม่ได้ว่าทุกคนก็ต้องการประสบความสำเร็จในชีวิตด้วยกันทั้งนั้น แต่การที่จะประสบความสำเร็จได้ต้องอาศัยปัจจัยหลายอย่างร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของจังหวะเวลา โอกาส และการพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้จะมีอยู่บางเรื่องที่เราไม่สามารถควบคุมได้ เช่น เรื่องของจังหวะ และโอกาส แต่สิ่งหนึ่งที่สำคัญที่เราสามารถควบคุมและสามารถลงมือทำได้ก็คือ การพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้น การเปิดโอกาสให้ตัวเองได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ อย่ากลัวที่จะทำผิดพลาด เพราะนั่นคือ ครูที่ดีที่สุด และอย่ารู้สึกผิดถ้าจะให้รางวัลกับตัวเองบ้าง เหล่านี้จึงเป็นวิธีพัฒนาตัวเอง เพื่อให้เราได้ไปถึงเป้าหมายและประสบความสำเร็จดังที่ตั้งใจไว้ได้ในที่สุด